วันอังคารที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ลักษณะประหลาดที่น่าสนใจทางพันธุศาสตร์ของตัวละครในวรรณคดีไทย
ดร. ณรงค์ โฉมเฉลา
ที่ปรึกษาสมาคมพันธุศาสตร์ฯ และสมาคมพืชสวนฯ

1.  คำนำ
ตามปกติ มนุษย์และสัตว์ จะให้กำเนิดลูกที่มีลักษณะปกติตามชนิด-พันธุ์ หากมีอาการวิปริตเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นมีนิ้วเพิ่มขึ้นที่มือหรือเท้า มีเขาเพิ่มขึ้นเป็นสามเขาแทนที่จะเป็นสองเขา มีหางมากกว่าหนึ่งหาง ฯลฯ  มนุษย์และสัตว์นั้น ๆ ก็ยังคงมีชีวิตอยู่ได้ แต่ถ้ามีอาการวิปริตมาก ๆ เช่นมีสองหัว ลำตัวติดกัน มีสามแขน โอกาสที่จะมีชีวิตอยู่รอด มีน้อยมาก  เท่าที่พบกันก็มีแต่ลำตัวติดกัน ดังเช่น “แฝดสยาม” คู่ที่ทำชื่อเสียงให้แก่ประเทศไทย คือ อิน-จัน ที่ตัวติดกันจนตาย  เมื่อเร็ว ๆ นี้ ก็มีข่าวที่พบหมูที่มีงวงคล้ายช้าง ที่จังหวัดตราด  แต่โดยทั่วไปแล้ว การมีอาการวิปริตมาก ๆ มักทำให้มนุษย์และสัตว์นั้น ๆ ตายก่อนเกิด หรือเกิดมาแล้วก็ตาย  ไม่มีโอกาสอยู่รอดจนเป็นตัวโตเต็มวัย  จะมีก็แต่ในวรรณคดีไทย ที่ตัวละครมีลักษณะประหลาด ที่อยู่รอดจนเป็นตัวเต็มวัย หรือเป็นผู้ใหญ่ และกลายเป็นลักษณะเด่น (ที่ไม่ใช่ dominant) จนเป็นตัวเอกของวรรณคดีเรื่องนั้น  ลักษณะประหลาดเหล่านี้ ล้วนแต่เป็นเรื่องที่น่าสนใจทางพันธุศาสตร์
ความวิปริตอีกอย่างหนึ่ง คือลูกผสมระหว่างชนิดของคนกับสัตว์ หรือสัตว์กับสัตว์คนละชนิด ซึ่งตามปกติ จะเกิดได้น้อยมาก เพราะมีกลไกในการป้องกันการผสมข้ามชนิด (reproductive isolation) อย่างไรก็ตาม นาน ๆ ครั้ง เราก็ได้ลูกผสมระหว่างชนิด ที่มีชีวิตอยู่รอด แต่ส่วนใหญ่จะเป็นหมัน ไม่สามารถสืบพันธุ์ต่อไป  ดังเช่นในกรณีของลูกผสมระหว่างม้า กับลา เกิดเป็นล่อ (ฬ่อ)  ที่มีมาตั้งแต่สมัยโบราณ  นอกจากนั้น เราอาจจะพบลูกผสมระหว่างชนิดของสัตว์ที่มีความสัมพันธ์กันในทางพันธุกรรมบ้าง ที่เกิดขึ้น และมีชีวิตอยู่จนเป็นตัวโตเต็มวัยได้ ดังเช่นลูกผสมของเสือ กับสิงโต (liger หรือ tigron)   อย่างไรก็ตาม โอกาสที่จะพบลูกผสมระหว่างชนิดของสัตว์ต่าง ๆ ที่คงมีชีวิตอยู่จนเป็นตัวโตเต็มวัยนั้น มีน้อยมาก  แต่ในวรรณคดีไทย เราจะพบตัวละครที่เป็นลูกผสมระหว่างชนิด ตั้งแต่คนกับสัตว์ หรือสัตว์กับสัตว์ แม้ว่าจะไม่มีความสัมพันธ์ในทางพันธุกรรมอย่างใกล้ชิดกันเลย  จึงเป็นเรื่องที่น่าสนใจทางพันธุศาสตร์เช่นกัน

2.  ตัวละครในวรรณคดีไทยที่มีลักษณะประหลาด
ตัวละครในวรรณคดีไทยหลายเรื่อง มีลักษณะประหลาด และสามารถอยู่รอดจนเป็นตัวเต็มวัยหรือผู้ใหญ่ และยังสามารถสืบพันธุ์ได้  ตัวละครที่มีลักษณะประหลาดเหล่านี้ มีกำเนิดมา 3 ทาง คือ:
2.1  เกิดจากการกลายพันธุ์ (mutation) หรือการพัฒนาที่วิปริต (abnormal development):  ลักษณะประหลาดที่เกิดขึ้นเป็นฟีโนไทป์ ซึ่งเกิดจากผลของการกลายพันธุ์ (ซึ่งไม่มีทางพิสูจน์ เพราะผู้แต่งไม่ใช่นักพันธุศาสตร์) หรือเกิดจากการพัฒนาที่วิปริต (ซึ่งก็ไม่มีทางพิสูจน์ เพราะผู้แต่งไม่ใช่นักชีววิทยาสาขาการพัฒนาอวัยวะ)  ตัวอย่างของตัวละครในวรรณคดีไทยที่มีลักษณะดังกล่าว มีดังต่อไปนี้:
2.1.1 เรื่องรามเกียรติ์
ทศกัณฐ์:  มี 10 หน้า 20 มือ เป็นการกลายพันธุ์ หรือการพัฒนาที่วิปริต
ยักษ์ตนอื่นๆ:  บางตน มีสีตัว รวมทั้งสีหน้า ผิดจากปกติ เช่นสุครีพ มีตัวสีแดง อินทรชิต มีตัวสีเขียว ไมยราพ มีตัวสีม่วงอ่อน  มารีศ มีตัวสีขาว  ทั้งหมด น่าจะเกิดจากการกลายพันธุ์
 มารีศ: เป็นยักษ์ ที่มีลำตัวเป็นกวาง (บ้างก็ว่าเป็นสิงห์) ส่วนหัวเป็นเหม (สัตว์ในหิมพานต์ มีลักษณะผสมระหว่างสิงโตกับวัว) เนื่องจากไม่ปรากฏพันธุประวัติ (pedigree) จึงสันนิษฐาน ว่า น่าจะเกิดจากการกลายพันธุ์ มากกว่าการผสมพันธุ์
ช้างเอราวัณเป็นช้างพาหนะของพระอินทร์ มี 3 เศียร (ที่จริงมีถึง 33 หัว แต่ช่างเขียนเขียนไม่ได้ เลยลดลงมาเหลือเพียง 3 เศียร) มีพลกำลังมาก ไม่ปรากฎว่า มีกำเนิดมาอย่างไร
2.1.2  เรื่องพระสุธนธ์-มโนราห์ 
      กินรี: ตัวเป็นคน แต่มีปีกและหางเป็นนก ที่จริงน่าจะเป็นลูกผสมของคนกับนก แต่ไม่มีประวัติการผสมพันธุ์ จึงสันนิษฐานว่า เกิดมาจากการกลายพันธุ์ เพราะสืบพันธุ์เป็นกินรีต่อไปได้
2.1.3  เรื่องพระอภัยมณี
เงือก: ตัวเป็นคน แต่มีหางเป็นปลา ที่จริงน่าจะเป็นลูกผสมของคนกับปลา แต่ไม่มีประวัติการผสมพันธุ์ดังกล่าว จึงสันนิษฐานว่า เกิดมาจากการกลายพันธุ์  มีทางเป็นไปได้ ที่เงือก เป็นสัตว์ที่เกิดจากจินตนาการมาจากตัวพะยูน ที่เป็นสัตว์น้ำเลี้ยงลูกด้วยนม สามารถทรงตัวอยู่เหนือคลื่น จนทำให้คนเห็นเป็นมนุษย์ที่มีหางเป็นปลา โดยเฉพาะเห็นพะยูนตัวเมียที่มีนมเหมือนนมคน แต่ยังมีหางเหมือนปลา เลยเกิดจินตนาการว่า มีสัตว์ที่คล้ายคนที่มีหางเหมือนปลา ที่เรียกว่า เงือก (ภาษาอังกฤษใช้ว่า mermaid มาจากคำว่า mer ซึ่งแปลว่าทะเล กับคำว่า maid แปลว่าหญิงสาว สำหรับเงือกผู้ชาย เรียกว่า merman) ในเรื่องพระอภัยมณี มีตัวละครที่เป็นเงือกอยู่ 3 ตัว คือ ตา กับยายเงือก และนางเงือก (ไม่มีชื่อ) ซึ่งเป็นเมียของพระอภัยมณี และแม่ของสุดสาคร
ม้ามังกร: ตามศัพท์ น่าจะเป็นลูกผสมระหว่างชนิดระหว่างม้ากับมังกร (สัตว์ในวรรณคดีของจีน) ม้ามังกรมีลักษณะตัวเป็นม้า หัวเป็นมังกร หางเหมือนนาค ลำตัวเป็นเกล็ดสีดำแวววาว วิ่งในน้ำก็ได้ บนบกก็ได้ แต่จากลักษณะที่ปรากฏในบทวรรณคดีไทยเรื่องพระอภัยมณี ที่ว่า “เขี้ยวเป็นเพชร เกล็ดเป็นนิล ลิ้นเป็นปาน” จึงไม่น่าจะเป็นลูกผสมของม้ากับมังกร แต่เป็นสัตว์ประเภทม้าที่มีลักษณะพิเศษ มีฤทธิ์ จึงน่าจะเกิดมาจากการกลายพันธุ์ของม้า อีกเหตุผลหนึ่งคือ มังกรเป็นสัตว์ในนิยายของจีน จึงไม่น่าจะมีโอกาสมาผสมกับม้าในเมืองไทย (เป็นเรื่องของ geographical isolation) และผู้แต่ง คือสุนทรภู่ ก็ไม่ได้กล่าวไว้ว่า ม้ามังกร เกิดมาได้อย่างไร แต่ที่แน่ ๆ คือไม่ได้บอกว่าเป็นลูกผสมของม้ากับมังกร หรือสัตว์ประเภทไหน
2.1.4  เรื่องรามเกียรติ์ และกากี
ครุฑเป็นนกที่มีลำตัวเป็นคน แต่มีหัว ขา และปีกเป็นนก ในเรื่องกากี พญาครุฑ ชื่อ เวนไตย  ลักพาเอานางกากีจากท้าวพรหมทัต ไปขึ้นวิมานฉิมพลี ส่วนในเรื่องรามเกียรติ์เป็นครุฑ ชื่อ สดายุ  ที่ขัดขวางไม่ให้ทศกัณฐ์เหาะลักพานางสีดาไปจากพระราม (เป็นที่น่าสังเกตว่า ครุฑในทั้งสองเรื่อง เกี่ยวข้องกับการลักพาผู้หญิงโดยการเหาะไป อาจจะเป็นที่มาของสำนวน “วิวาห์เหาะ” ก็เป็นได้) สันนิษฐานว่า ครุฑน่าจะเกิดจากการกลายพันธุ์ หรือการพัฒนาที่ผิดปกติของนกยักษ์ ที่มีลำตัวคล้ายคน
2.2  เกิดจากการผสมระหว่างชนิด (interspecific hybridization) ลักษณะประหลาดที่เกิดขึ้นเป็นฟีโนไทป์ ซึ่งเกิดจากผลของการผสมพันธุ์ระหว่างชนิด แต่ไม่เป็นหมันเหมือนลูกผสมระหว่างชนิดตามหลักทางพันธุศาสตร์ ตัวอย่างของตัวละครในวรรณคดีไทยที่มีลักษณะดังกล่าว มีดังต่อไปนี้:
     2.2.1 เรื่องรามเกียรติ์
นางสุพรรณมัจฉา: เป็นลูกผสมระหว่างชนิดของคนกับปลา ท่อนบนเป็นคน ท่อนล่างเป็นปลา เกิดจากการผสมระหว่างทศกัณฐ์ (ความจริงเป็นยักษ์ แต่อนุโลมให้เป็นคน แต่น่าจะเป็นคนละ subspecies กับคน) กับนางปลา (ปลา) จึงมีลักษณะผสมระหว่างพ่อ (คน) กับแม่ (ปลา) คือเป็นเงือก
มัจฉานุ: เป็นลูกผสมระหว่างชนิดของเงือก (นางสุพรรณมัจฉา) กับลิง (หนุมาน) มีลักษณะกึ่งกลางระหว่างปลากับลิง คือตัวเป็ยลิง หางเป็นปลา เป็นลักษณะประเภท no dominance
         ที่จริง กำเนิดของมัจฉานุเป็นเรื่องพิลึกพิลั่น เพราะมีบรรพบุรุษที่ห่างไกลกันมาก มาผสมพันธุ์กัน กล่าวคือ มียายเป็นปลา คือนางปลา มีตาเป็นยักษ์ คือทศกัณฐ์ (หรืออนุโลมว่าเป็นคน)  มีย่าเป็นคน คือนางสวาหะ และมีปู่เป็นลม คือวายุเทพ (เหลือเชื่อเกินไปหน่อย เพราะลมไม่ใช่สิ่งที่มีชีวิต ไม่น่าผสมพันธุ์กับคนได้เลย แต่ในทางวรรณคดี จัดให้ลมเป็นเทพองค์หนึ่ง จึงอนุโลมให้เป็นคนได้)  ดังแผนผังการผสมพันธุ์ข้างล่าง

2.2.2  เรื่องพระอภัยมณี
สุดสาคร: เป็นลูกผสมระหว่างชนิดของคน (พระอภัยมณี) กับเงือก (นางเงือก) มีลักษณะเป็นคนที่สมบูรณ์ แสดงว่า ลักษณะคนของพระอภัยมณี สามารถข่มลักษณะเงือกของนางเงือกได้อย่างสมบูรณ์ (complete dominance)
2.2.3  เทวนิยาย
นกหัสดีลิงค์: น่าจะเป็นลูกผสมระหว่างชนิดระหว่างนกกับช้าง เพราะมีลำตัวเป็นนก หัวเป็นช้าง มีงา มีจะงอยปากเป็นงวง มีพลกำลังเทียมเท่ากับช้าง 5 เชือก  ในเทวนิยายกล่าวว่า นกหัสดีลิงค์ เป็นหนึ่งในสัตว์จำพวกนก อาศัยอยู่ในป่าหิมพานต์
2.3  เกิดจากการผสมภายในชนิด (intraspecific hybridization): ลักษณะประหลาดที่เกิดขึ้น เป็นฟีโน ไทป์ ซึ่งเกิดจากผลของการผสมพันธุ์ภายในชนิด ตัวอย่างของตัวละครในวรรณคดีไทยที่มีลักษณะดังกล่าว มีดังต่อไปนี้:
2.3.1  เรื่องพระอภัยมณี
สินสมุทร: เป็นลูกผสมระหว่างชนิดของคน (พระอภัยมณี) กับยักษ์ (นางผีเสื้อสมุทร ซึ่งน่าจะเป็นคนละ subspecies กับมนุษย์) มีลักษณะเป็นคนที่สมบูรณ์ แต่แข็งแรงผิดปกติ (heterosis)
3.  ข้อคิดจากตัวละครในรรณคดีไทย
3.1 ความคิดในด้านการผสมพันธุ์เนื่องจากเป็นวรรณคดี ที่ไม่ใช่เรื่องทางวิทยาศาสตร์ จึงไม่ใช้       เหตุผลใด ๆ ในเรื่องการผสมพันธุ์ มีการผสมข้ามชนิด ที่ไม่มีความสัมพันธ์กันแต่อย่างใด เช่น คน x ปลา  เงือก x ลิง    นก x ช้าง   ซึ่งในทางชีววิทยา เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
3.2  ลักษณะข่ม (dominance): ในการผสมบางคู่ผสม (cross) ลูกผสมออกมาเหมือนพ่อ ซึ่งมีลัษณะข่ม (complete dominance) เช่น
    - คน (พระอภัยมณี) กับเงือก (นางเงือก) มีลูกออกมาเป็นคน คือสุดสาคร
แต่ส่วนใหญ่ ลูกที่ออกมามีลักษณะกึ่งกลางระหว่างพ่อกับแม่ (no dominance) เช่น
    - คน (ทศกัณฐ์) กับนางปลา (ไม่มีชื่อ) ได้ลูกออกมามีลักษณะกึ่งกลาง คือมีตัวเป็นคน หางเป็นปลา หรือเงือก (นางสุพรรณมัจฉา)
    - เงือก (นางสุพรรณมัจฉา) กับลิง (หนุมาน) ได้ลูกออกมามีลักษณะกึ่งกลาง ที่ตัวเป็นลิง หางเป็นปลา (มัจฉานุ)
3.3  คนกึ่งสัตว์วรรณคดีไทยหลายเรื่อง มีตัวละครเป็นคนที่มีรูปร่างบางส่วนเป็นสัตว์ เช่น
3.3.1 เงือก: เป็นตัวเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างคนกับปลา มีการอ้างถึงนางเงือกในวรรณคดีไทยหลายเรื่อง เช่นในเรื่องรามเกียรติ์ มีการผสมพันธุ์ระหว่างคน (ทศกัณฐ์) กับนางปลา (ไม่มีชื่อ) ได้ลูกออกมาเป็นนางสุพรรณมัจฉา ซึ่งมีลักษณะเป็นเงือก คือมีตัวเป็นคน หางเป็นปลา ส่วนในเรื่องพระอภัยมณี เงือกเป็นเผ่าพันธุ์ที่สืบเชื้อสายต่อ ๆ กันไปได้ แต่น่าจะเป็นจินตนาการของสุนทรภู่ ที่เอาเรื่องของตัวพะยูนมาอุปโลกให้เป็นเงือก ในเรื่องนี้ มีตากับยายเงือก (ที่คอยช่วยพระอภัยจากการเอาตัวกลับคืนไปของนางผีเสื้อสมุทร) มีลูกออกมาเป็นนางเงือก (ไม่มีชื่อ) ที่เป็นเมียของพระอภัมณี ซึ่งมีลูกเป็นสุดสาคร มีลักษณะเป็นคน
3.3.2 กินรี: เป็นคนที่มีส่วนปีก และหางเป็นนก หากเป็นเพศชาย เรียกว่า กินร (ไม่ใช่กินนอน ดังเช่นประเภทหนึ่งของโรงเรียนที่นักเรียนอยู่ประจำ)
3.3.3 ครุฑ: เป็นนกที่มีลำตัวเป็นคน แต่มีหัว ขา และปีกเป็นนก ครุฑกับกินรี คล้ายกันตรงที่เป็นคนที่ส่วนใดส่วนหนึ่งเป็นนก ต่างกันตรงที่กินรี ทั้งตัว รวมทั้งหัวด้วย เป็นคน แต่มีปีกและหางเหมือนนก ในขณะที่ครุฑ มีส่วนที่เป็นคนเฉพาะตัว ส่วนอื่นเป็นนก รวมทั้งหัว ขา และปีก
3.4  สัตว์ประหลาด: วรรณคดีไทยหลายเรื่อง มีตัวละครเป็นสัตว์ประหลาด ที่ยังคงมีลักษณะส่วนใหญ่ เป็นสัตว์ชนิดใดชนิดหนึ่ง เช่น
3.4.1  ม้ามังกร: มีโครงร่างเป็นม้า  แต่มีหัวเป็นมังกร หางเหมือนนาค (งูยักษ์ - ไม่ใช่นากกินปลา) ลำตัวเป็นเกล็ดสีดำแวววาว อีกทั้งยังมี “เขี้ยวเป็นเพชร เกล็ดเป็นนิล ลิ้นเป็นปาน”  จึงเป็นม้าที่ประหลาดมาก  แม้ว่าจะมีชื่อเป็นมังกร แต่ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับมังกรของจีนแต่อย่างใด  ที่จริงอาจไปเหมือนกับม้าในเทพนิยายของชาวกรีกที่ชื่อ Pegasus (ม้ามีปีก) แต่ในเรื่องพระอภัยมณี ไม่มีประวัติความเป็นมาของม้ามังกรแต่อย่างใด จึงไม่รู้ว่าพ่อแม่ของม้ามังกรเป็นอะไร และลูกของม้ามังกรเป็นอะไร จึงบอกไม่ได้ว่า มีกำเนิดมาอย่างไร สันนิษฐานว่า น่าจะเป็นการกลายพันธุ์จากม้า หรือการพัฒนาที่ผิดปกติของม้า
3.4.2  ช้างเอราวัณ: มีโครงร่างเป็นช้างทุกประการ แต่มีหัวถึง 3 หัว น่าจะเกิดจากการพัฒนาที่วิปริต ในวรรณดีเรื่องรามเกียรติ์ระบุว่า เป็นช้างเผือก ร่างกายใหญ่โต มีพลกำลังมาก
4.  วิจารณ์
ผู้เขียนรู้ดีว่า เรื่องที่ท่านผู้อ่านได้อ่านมาถึงตอนนี้ เป็นเรื่องไม่เป็นเรื่อง ที่เกิดจากอาการเพ้อของผู้เขียน ที่สนใจในความแปลกประหลาดของสิ่งที่มีชีวิต หรือที่มีอาการวิปริต (abnormal) และได้เคยเขียนบทความเกี่ยวกับความวิปริตของพืชและสัตว์มาแล้วหลายเรื่อง (จนที่บ้านของผู้เขียนกล่าวหาว่า คนที่สนใจเรื่องพืชและสัตว์ประหลาด เป็นคนประหลาดด้วย) แต่เรื่องนี้ประหลาดกว่าเพื่อน เพราะไม่ใช่ความประหลาดที่เกิดจริง ๆ ในธรรมชาติ แต่เป็นจินตนาการของผู้แต่ง ซึ่งไม่ใช่นักชีววิทยา หรือนักพันธุศาสตร์ ดังนั้น จึงไม่ได้เป็นเรื่องที่เกิดได้จริง ๆ  แต่ในฐานะที่เป็นนักพันธุศาสตร์คนหนึ่ง จึงรวบรวมเรื่องดังกล่าว เพื่อให้ผู้ที่สนใจในวิชาพันธุศาสตร์ นำไปคิดว่า มันมีทางเป็นไปได้ไหม โดยใช้องค์ความรู้ในวิชาพันธุศาสตร์มาประกอบ และอย่างน้อย ก็เพื่อฟื้นความรู้ ในทฤษฎีทางพันธุศาสตร์ ที่เกี่ยวข้องกับการถ่ายทอดลักษณะของสิ่งที่มีชีวิต
ก่อนจบ ขอตั้งคำถาม (เป็นภาษาอังกฤษ) ว่า “What will happen if a Norman man marries an Oblong woman?  โดยมี hint ให้ว่า “Normal” แปลว่า “ปกติ”  และ “Oblong” แปลว่ารูปขอบขนาน หรือสี่เหลี่ยมผืนผ้า ซึ่งผู้เขียนก็ไม่ได้หวังว่า จะมีใครตอบถูก  เพราะคำว่า Normal และ Oblong ในที่นี้ เป็นชื่อเมืองในรัฐอิลลินอยส์ ของสหรัฐอเมริกา ไม่ใช่ลักษณะของบุคคลแต่อย่างใด
 
ขอขอบคุณ: http://www.geneticsociety.or.th/content

วันอังคารที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

หมู หมา กา ไก่ ในวรรณคดีสันสกฤต

สัตว์ปีก 
  ไก่ เรียกว่า กุกกุฏะ (कुक्कुट) คงมาจากเสียงกุ๊กๆ  หรือตาภระจูฑะ (ताभ्रचूडः)
  อีกา หรือกาดำ เรียกว่า กากะ (काक)มาจากเสียงร้องเหมือนกัน (กากบาท แปลว่า ตีนกา) นอกจากนี้ก็มี เมากุลิ วายสะ หรือ ธวามกษะ
  นก มีหลายศัพท์ เช่น ปักษิณ (पक्षिन्) แปลว่าผู้มีปีกวิหค (विहग) แปลว่าผู้ไปในอากาศ (วิห เวหา = ท้องฟ้า, ค = ไป)นอกจากนี้ยังมี   ศกุน (शकुन) และฌษ (झष) เป็นต้น 
  เป็ด เรียกว่า หงส์ (हंस) หรือ ปลวะ (प्लव) แปลว่าผู้ว่ายน้ำ คำว่า ปลวะนี้แปลได้หลายอย่าง อีกคำที่เรียกเป็ดคือ กลหงส์   (कलहंस)หงส์ที่ส่งเสียง
  นกยูง ก็มีหลายศัพท์ เช่น มยูร (मयूर) ศิขิน (शिखिन्) แปลว่า   ผู้มีหงอน หรือ นีลกัณฐ (नीलकण्ठ)แปลว่า ผู้มีคอสีดำ ซึ่งหมายถึงพระศิวะก็ได้ กวีจึงมักจะเล่นคำกับคำนี้เป็นพิเศษ
  นกในวรรณคดีสันสกฤตมีกล่าวไว้มาก ขอเล่าพอหอมปากหอมคอแค่นี้ก่อน
สัตว์บก
  กระต่าย คุ้นอยู่คำเดียวคือ ศศะ (शश) คำว่า ศศิธร (ดวงจันทร์) มาจากคำนี้ เพราะพระจันทร์มีกระต่ายอยู่ไงล่ะ
  พังพอน เรียกว่า นกุล (नकुल) เป็นสัตว์ที่สู้กับงูได้ เป็นชื่อตัวละครหลายเรื่อง
  หมา ศัพท์เก่าว่า สรมา (सरमा) หรือ ศวัน (श्वन्) ความหมายจริงๆ คือ แม่หมา หรือ หมาตัวเมีย รากศัพท์เดียวกับ hound, hund ในภาษายุโรป ส่วนคำว่า ศุนัก ( शुनक) เป็นศัพท์ทั่วไป (ตรงกับภาษาบาลีว่า สุนัข) มาจาก ศวัน เติม อกะ เข้าไป (แปลว่า ลูกหลานของ ศวัน) สำหรับหมาป่านั้น เรียกว่า  ศฤคาล(शृगाल) 
  แมว เจอศัพท์ พิฑาล หรือ วิฑาล (विडाल) (บาลีว่า วิฬาร) แต่ไม่ค่อยจะพบคำว่าแมวในวรรณคดีสันสกฤต
  หมู เรียกว่า ศูกร (शूकर) หมายถึงผู้ส่งเสียงซู่ๆ กร แปลว่าผู้ทำ ศู ก็คือ เสียง ซู่ๆ ตรงนี้ต่างจากภาษาบาลีเล็กน้อย (สุกร) สำหรับหมูป่ามีศัพท์เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า วราหะ (वराह) อาจมาจากคำว่า วร – ดีเลิศ และ หนฺ – ฆ่า (ลดรูป เหลือแต่ ห)
  ลิง มีหลายศัพท์ ที่พบบ่อยก็คือ วานร (वानर) และกปิ (कपि) และอีกศัพท์หนึ่ง ที่ไม่ค่อยคุ้นเคย ปลวังค (प्लवंग) ผู้ไปโดยการกระโดด ปฺลว แปลว่า กระโดด หรือว่ายน้ำ ค แปลว่า ไป
เสือ ศัพท์ที่พบบ่อยคือ วยาฆร (व्याघ्र) ภาษาไทยใช้ว่า พยัคฆ์ อีกคำที่พบบ่อยคือ ศารทูล (शार्दूल) (คุ้นๆ กับหลายนามสกุล) วรรณคดีสันสกฤตชอบใช้คำนี้ เรียกคนสำคัญ ว่าเป็นเสือในหมู่ชนทั้งปวง (ผู้เก่งกล้า) ถ้านางเสือก็ ศารทูลี อีกคำก็คือ ทวีปิน (द्वीपिन्)   
  กวาง มีใช้มาก วรรณคดีสันสกฤตหลายเรื่อง พระเอกชอบล่ากวาง ใช้ว่า มฤค (मृग) หริณ (हरिण) กุรังคะ (कुरंग) และวาตายุ (वातायु) แปลว่า ไปเหมือนลม ยังมีอีกหลายคำ
  สิงโต คำแรกก็ สิงหะ (सिंह) เกสริน (केसरिन्) แปลว่า ผู้มีแผงขน มฤคริปุ (पुंडरीक) คือ ศัตรูของกวาง ปศุปติ (पशुपति) เจ้าแห่งสัตว์ป่า ฯลฯ เยอะแยะมากมาย... 
  ช้าง มีศัพท์เยอะมากมายพอๆ กับสิงโต เช่น หัสติน (हस्तिन्) แปลว่า ผู้มีมือ (หัสต + อิน) หรือ กริน (करिन्)  แปลว่าผู้มีมือ (กร + อิน) เหมือนกัน อีกคำที่พบบ่อยก็คือ คช (गज) หรือ นาค ก็แปลว่าช้างได้
  วัว เรียก โค, คาวี (गो, गावी) หรือ เธนุ (धेनु) และอีกมากมาย
  ควาย เรียกว่า มหิษ (महिष) ในตำนาน มีอสูรตนหนึ่ง ร่างเป็นควาย เรียกว่า มหิษาสูร 
  ม้า สัตว์อีกชนิดที่พบมาก คำที่ใช้กันเกร่อก็ อัศวะ (अश्व) มีเทพเจ้าเป็นม้าสององค์ เรียกว่า อัศวิน ยังมี โฆฏกะ  (घोटक) และ วาชิน แปลว่าผู้มีความเร็ว (วาช แปลว่า เร็ว)
  อูฐ มีหลายศัพท์ (ผมยังไม่เคยอ่านเจอ จึงค้นจากพจนานุกรมมาเล่าให้ฟังกัน) ได้แก่ อุษฏระ (उष्ट्र) คำนี้ภาษาบาลีว่า โอฏฺฐ (oṭṭha) คำนี้แปลว่าควาย หรือเกวียน ก็ได้ ยังมี กเมลกะ (कमेलक) คำนี้คล้ายๆ camel ในภาษาอังกฤษ แล้วก็ มยะ (मय) แปลว่าไป สุดท้าย มหางคะ (महांग) แปลว่า ตัวใหญ่ (มห + องค์)
  แกะ เรียกว่า เมษ (मेष) เดือนเมษายน ก็เจ้าแกะนี่แหละ) อีกคำก็ อูรณายุ (ऊर्णायु) แปลว่า ผู้มีขนเยอะ จึงแปลว่าแมงมุมได้เหมือนกัน อีกสองคำก็ อวิ (अवि) และอุรภระ (उरभ्र)
  แพะ ว่า อชะ (अज) หรือ ศุภะ (शुभ) และอีกหลายคำ
  แรด เรียกว่า คัณฑะ (गंड) หรือ ขังคิน (खङ्गिन्)
สัตว์เล็กๆ
  เต่า เรียกว่า กูรมะ (कूर्म) พระนารายณ์เคยอวตารเป็นเต่า เรียก กูรมาวตาร นอกจากนี้มีศัพท์ กัจฉปะ(कच्छप) แปลว่า ผู้อาศัยในบึง 
  เม่น เรียกว่า กมฐะ (कमठ) (คำนี้แปลว่าเต่า ไม้ไผ่ ถ้วยทำจากกะลาหรือน้ำเต้า ก็ได้)
  หนู มีศัพท์ว่า มูษิก (मूषिक) ตำราว่าคำนี้มาจาก มูษฺ แปลว่า ขโมยส่วนคำว่า มูษิกา แปลว่า หนู โจร ปลิง หรือแมงมุมก็ได้เหมือนกัน
  แมงป่อง วฤศจิกะ (वृश्चिक) ก็เดือนพฤศจิกายน ที่เรารู้จัก 
  กิ้งกือ เรียกรวมๆ ไปว่า ศตปที (शतपदी) ผู้มี 100 เท้า คำกลุ่ม ปท ก็มี ทวิปท สัตว์สองเท้า, จตุษฺปท สัตว์สี่เท้า ษฏปท สัตว์หกขาคือพวกแมลง อัษฏปท สัตว์แปดขา หรือว่าแมงมุมนั่นเอง (ตริปท ก็มี แต่ไม่ได้แปลว่าสัตว์สามขา)
  กบ เรียก เภกะ (भेक) บางตำราว่าเภกะเป็นคำเรียกตามเสียงกบ ที่คุ้นเคยก็ มณฑูกะ (मंडूक) อันปรากฏในตำนานนางมณโฑ และอีกชื่อ วรฺษาภู แปลว่า ผู้เกิดในหน้าฝน   
  งู ที่พบบ่อยคือ สรปะ (सर्प) แปลว่าผู้เลื้อยไป ภุชค (भुजग) ผู้ไปโดยที่ตัวโค้งงอ และอุรค (उरग) ผู้ไปด้วยอก ส่วนคำว่า อหิ (अहि) เป็นคำเก่า พบในฤคเวท แปลว่า งู หรืองูยักษ์อะไรสักอย่าง
  แมงมุม เป็นศัพท์ไม่คุ้นหู กินตนุ किंतनु(กึ- อะไร, ตนุ – ตัว) แปลว่า ตัวอะไรคนอินเดียคงจะงงๆ เมื่อเจอแมงมุม แต่ก็ไม่แน่ ศัพท์นี้อาจจะเลือนมาจากศัพท์อื่นก็ได้ อีกคำ อูรณนาภะ (ऊर्णनाभ) แปลว่า ผู้มีขนที่ท้อง ชาลิก (जालिक) แปลว่า ผู้มีตาข่าย (ชาล แปลว่า ตาข่าย) หรือผู้อาศัยด้วยตาข่าย (พรานนก) นอกจากนี้ก็มี ตันตุนาภะ (तन्तुनाभ) ผู้ปล่อยใยจากท้อง (ตันตุ แปลว่า ใย)
   ผึ้ง คำที่ใช้บ่อยในวรรณคดี คือ มธุกร (मधुकर) แปลว่า ผู้สร้างน้ำผึ้ง (มธุ แปลว่าน้ำผึ้ง) อีกคำก็คือ อลิ (अलि)
   ยุง ใช้ศัพท์ มศกะ (मशक) มาจากธาตุ √มศฺ แปลว่าส่งเสียงหึ่ง
   แมลงหวี่ แมลงวัน ใช้ว่า มักษิกา (मक्षिका) มาจากธาตุ √มกฺษฺ แปลว่า โกรธ
   แมลงทั้งหลาย เรียกรวมๆ ว่า ปตังคะ (पतंग) แปลว่านกก็ได้ คำนี้น่าจะแปลว่า ผู้มีร่างกายบินได้ แต่พจนานุกรมบางเล่มแปลว่า ผู้ไปแล้วก็ตก (ปต แปลว่า ตก หรือ บิน ก็ได้, ค แปลว่า ไป แต่ อังค แปลว่าร่างกาย) ตั๊กแตนปาทังก้า มาจากคำนี้แหละ

  
สัตว์น้ำ
  ปลา มีหลายศัพท์เช่นกัน ที่คุ้นเคยก็เช่น มัตสยะ (मत्स्य) วาริช (वारिज) ผู้เกิดในน้ำ หรือ มีน (मीन) (มีนบุรี มีนาคม มาจากคำนี้) อีกคำหนึ่งอาจจะแปลกหน่อย ปฤถุโรมัน (पृथुरोमन्) แปลว่า ผู้มีขนกว้าง (เกล็ด)  ปฤถุ แปลว่ากว้าง โรมัน (โลม) แปลว่า ขน  ดูๆ ชาวอินเดียโบราณจะไม่คุ้นเคยกับสัตว์น้ำเท่าไหร่
  ปลาวาฬ ว่า ติมิ (तिमि) หรือ ติมิงคิละ (तिमिंगिल)
  ปู ที่รู้จักกันดีก็คือ กรกฏ (कर्कट) เดือนกรกฎาคม มาจากคำนี้แหละ อีกคำก็กุลีระ (कुलीर)
  จระเข้ มีหลายศัพท์ เช่น คราหะ (ग्राह) ผู้พาไปหรือ อวราหะ (अवहार)ผู้พาลงไป (ลงน้ำนั่นแหละ)นอกจากนี้ก็มี มกร (मकर) ตัวมกร อาจจะเป็นจระเข้ เหรา หรือสัตว์น้ำอื่นๆ ก็ได้ (มกราคม ก็มาจากคำนี้ อีกคำหนึ่งคือ กุมภีระ หรือ กุมภีละ (कुंभीर, कुम्भील) คำนี้มีข้อสันนิษฐานว่า 1. แปลว่า คล้ายช้าง (จระเข้ในแม่น้ำคงคา เป็นพวกจมูกยาว) เพราะ กุมภี = ช้าง + อีร คล้าย 2. ผู้จับปลา กุมภี แปลว่าปลา, ร แปลว่า จับ
  หอย โดยทั่วไป เรียก กัมพุสฺถ (कंबुस्थ) ผู้อยู่ในเปลือก แต่ที่คุ้นเคยก็หอยสังข์ เรียก สังข์ เหมือนที่เรารู้จัก
  กุ้ง เรียกว่า ชลวฤศจิก (जलवृश्चिक) ซึ่งแปลว่า แมงป่องน้ำ อีกคำก็ อิงจากะ (इञ्चाक) 
  ปลิง ศัพท์อันไพเราะ คือ ชลูกา หรือ ชาลูกา (जालूक) นอกจากนี้ก็มี ภิษัช (भिषज्) ไวทยะ (वैद्य) สองคำหลังนี้แปลว่าหมอ ชาวอินเดียคงใช้ปลิงรักษาโรคด้วยเป็นแน่
ขอขอบคุณ: http://www.gotoknow.org/posts

วันอังคารที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ตำนานป่าหิมพานต์


ชื่อ - ภูเขาหิมพานต์ หรือ หิมวันตบรรพต



สถานที่ตั้ง


- บนเขาหิมพานต์ หรือ หิมาลายา ( เทือกเขาหิมาลัย - ประเทศอินเดีย ) ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ที่ทอดตัวต่ำลงมาในดินแดนของโลกมนุษย์ เป็นสถานที่ที่เป็นรอยต่อมิติระหว่างโลกทิพย์กับโลกมนุษย์ ที่มีการทับซ้อนมิติกัน ซึ่งมีอยู่ในหลายประเทศ และในดินแดนแถบสุวรรณภูมิทั้งหมด อาทิ เมืองลับแล ที่อยู่บนโลกนุษย์ แต่อยู่ต่างมิติหรือ คลื่นความถี่ จึงทำให้ไม่สามารถที่จะมองเห็นหรือเดินทางเข้าไปได้

- คำว่า " หิมาลายา " มีรากศัพท์จากภาษาสันสกฤต แปลว่า สถานที่ที่ถูกปกคลุมด้วยหิมะ

- อยู่ติดถัดจากเขาสุทัสสนะ

- ดินแดนชมพูทวีป

- มีสัตว์ที่มีรูปร่าง แปลกประหลาด ไม่เหมือนในเมืองมนุษย์ อีกทั้งยังมีอิทธิฤทธิ์มากมาย

- ไม่ว่าพืชหรือสัตว์ ตลอดจนแร่ธาตุต่าง ๆ ล้วนมีพลังอำนาจมหัศจรรย์

- เป็นที่อยู่ของบรรดานักสิทธิ์ วิทยาธร คนธรรพ์ ยักษ์ ฤษี ชีไพร ผู้ทรงอภิญญาทางจิตกล้าแข็งทั้งหลาย อยู่กันอย่างสันติภาพไม่เบียดเบียนกัน

- ในประเทศไทยอยู่หลายจังหวัดที่เป็นรอยต่อเชื่อม ระหว่างมิติ หรือ ประตูผ่านมิติ อาทิ หนองคายเป็นรอยต่อกับเมืองบาดาล อุตรดิตถ์เป็นรอยต่อกับเมืองลับแล บริเวณป่าแถบกาญจนบุรีเป็นรอยต่อกับป่าหิมพานต์


ขนาด

- เนื้อที่ประมาณ 3,000 โยชน์

- วัดโดยรอบได้ 9,000 โยชน์

- มีทั้งหมด 84,000 ยอด


หมายเหตุ - 1 โยชน์ เท่ากับ 16 กม.

*********************************************************

มีสระน้ำศักดิ์สิทธิ์ขนาดใหญ่อยู่ 7 สระ คือ

1. สระอโนดาต

- มีความหมายว่า... ไม่ถูกแสงส่องทำให้ร้อน

- ธารน้ำจากภูเขาต่าง ๆ จะไหลลงสู่ที่สระแห่งนี้ และหลังจากนั้นน้ำก็จะไหลออกเป็น 4 สาย ๆ ละ ทิศ ไหลรอบ ๆ นอกของเขาหิมพานต์ ก่อนที่จะไหลลงสู่มหาสมุทร ... คือ

สายที่1 - สีหมุข... ปากแม่น้ำแดนราชสีห์ (เป็นถิ่นที่ราชสีห์อาศัยอยู่มาก )

สายที่ 2 - หัตถีมุข... ปากแม่น้ำแดนช้าง ( เป็นถิ่นที่ช้างอาศัยอยู่มาก )

สายที่ 3 - อัสสมุข... ปากแม่น้ำแดนม้า ( เป็นถิ่นที่ม้าอาศัยอยู่มาก )

สายที่ 4 - อุสภมุข... ปากแม่น้ำแดนโคอุสภะ ( เป็นถิ่นที่โคอาศัยอยู่มาก )


นอกจากนี้ แม่น้ำ 4 สาย ของสระอโนดาตนี้ ก็จะไหลแยกไปตามทิศทางต่าง ๆ ทั้ง 4 ทิศ คือ ทิศเหนือ ทิศใต้ ทิศตะวันออก และทิศตะวันตก หลังจากนั้นก็จะเลี้ยวขวาอีก 3 เลี้ยว โดยจะไม่ไหลมาชนกันกับ 3 สายที่เหลือ เนื่องจาก แม่น้ำทั้ง 4 สายจะ ไหลลอดอุโมงค์หิน หรือ ลอดภูเขา แล้วค่อยไหลค่อยไหลผ่านถิ่นอมนุษย์ต่าง ๆ ที่อยู่ด้านรอบนอกเขาหิมพานต์ก่อนที่จะไหลจะลงสู่มหาสมุทรต่อไป

ยกเว้นสายน้ำที่ไหลไปทางทิศใต้ ที่จะไหลไปเป็นทางยาวประมาณ 60 โยชน์ หลังจากนั้นก็จะไหลออกมาทางใต้แผ่นหินซึ่งมีลักษณะที่เป็นหน้าผาแล้วค่อยไหลลงมา ดังนั้นบริเวณนี้จึงกลายเป็นน้ำตกที่มีความสูงขนาด 60 โยชน์เลยทีเดียว และเนื่องจากแรงกระแทกของสายน้ำตกที่ไหลหล่นลงมากระทบยังแผ่นหินเบื้องล่าง จึงทำให้แผ่นหินแตกกระจายออก กลายเป็นแอ่งน้ำขนาดใหญ่ ชื่อว่า " ติยัคคฬา " และต่อมาพอน้ำมีมากขึ้นก็ได้ทำให้หินด้านหนึ่งแตกออกไป สายน้ำก็ได้กัดเซาะหินที่ไม่ค่อยแข็งจนกระทั่งกลายเป็นอุโมงค์หิน และก็ได้เซาะในส่วนที่เป็นดินจนกระทั่งเป็นอุโมงค์ดิน หลังจากนั้นน้ำก็ได้ไหลจนถึงภูเขาหินที่ชื่อ " วิชฌะ " ซึ่งตั้งขวางอยู่ ( ติรัจฉานบรรพต = ภูเขาขวาง ) และเมื่อสายน้ำไปโดนหิน ก็เลยไม่สามารถผ่านไปได้ง่าย ๆ เหมือนที่ผ่านมา หลังจากนั้นแรงน้ำก็ได้ดันจุดที่อ่อนที่สุดได้ 5 จุด ไหลเป็นทางแยกต่าง ๆ กัน ซึ่งก็ได้กลายเป็นต้นน้ำสำคัญของมนุษย์ 5 สาย ที่ใช้ในปัจจุบัน คืด แม่น้ำคงคา, แม่น้ำยมุนา, แม่น้ำอจิรวดี, แม่น้ำสรภู, แม่น้ำมหิ

- พื้นสระ เป็นแผ่นหินกายสิทธิ์ ชื่อ " มโนศิลา "

- พื้นดินกายสิทธิ์ชื่อ " หรดาล " ( สามารถใช้ถูตัวได้ )

- น้ำใสสะอาด

- มีท่าอาบน้ำมากมาย สำหรับ พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์ทั้งหลาย
และผู้วิเศษที่มีฤทธิ์ต่าง ๆ อาทิ ฤๅษี วิทยาธร ยักษ์ นาค


- รอบสระอโนดาต มียอดเขารายรอบอยู่ 5 ยอด ได้แก่


1. ยอดเขาสุทัสสนะ ( สุทัสสนกูฏ )

- เป็นทองคำ

- รูปทรงโค้งตามแนวสระอโนดาต

- ปลายยอดเขา มีลักษณะโค้งงุ้มเหมือนปากของกา ซึ่งจะทำหน้าที่โอบปิดด้านบน ไว้ไม่ให้โดนแสงอาทิตย์ และ แสงจันทร์โดยตรง


2. ยอดเขาจิตตะ ( จิตรกูฎ )

- เป็นรัตนะ

- ลักษณะคล้ายยอดเขาสุทัสสนะ


3. ยอดเขากาฬะ ( กาฬกูฎ )

- เป็นแร่พลวง

- หินแห่งยอดเขาสีนีล

- รูปทรงคล้ายยอดเขาสุทัสสนะ



4. ยอดเขาคันธมาทน์ ( คันธมาทนกูฏ )

- รูปทรงคล้ายยอดเขาสุทัสสนะ

- ด้านบนยอดเขา เป็นพื้นราบเรียบ ( เหมือนภูกระดึง )

- มีไม้หอมมากมายหลากหลายพันธ์

- ไม้รากหอม

- ไม้แก่นหอม

- ไม้กระพี้หอม

- ไม้เปลือกหอม

- ไม้สะเก็ดหอม

- ไม้รสหอม

- ไม้ใบหอม

- ไม้ดอกหอม

- ไม้ผลหอม

- ไม้ลำต้นหอม

- อุดมด้วยไม้โอสถต่าง ๆ

- ในวันอุโบสถ ( วันพระ ) ข้างแรม ยอดเขานี้จะเรืองแสงเหมือนถ่านไฟคุ

ส่วนวันที่เป็นข้างขึ้น แสงยิ่งเปล่งรัศมีโชติช่วงกว่าเดิม...

- ถ้ำนันทมูล ที่บนยอดเขาคันธมาทน์ เป็นที่อยู่ของพระปัจเจกพุทธเจ้า ซึ่งมี 3 ถ้ำ อยู่ด้านใน คือ ถ้ำทอง ถ้ำแก้ว และ ถ้ำเงิน


5. ยอดเขาไกรลาส ( ไกรลาสกูฏ )

- ยอดเขาไกรลาส เป็นภูเขาเงิน รูปทรงคล้ายยอดเขาสุทัสสนะ วิมานฉิมพลีแห่งพญาครุฑ ก็อยู่ที่เขาไกรลาสนี้

- โดยแต่ละยอดมีความสูงและสัณฐาน 200 โยชน์ กว้างและยาวได้ 50 โยชน์

- มีเทวดารวมถึงนาค เป็นผู้ดูแลรักษา




2. สระกัณณมุณฑะ

3. สระรถการะ

4. สระฉัททันตะ

5. สระกุณาละ

6. สระมัณฑากิณี

7. สระสีหัปปาตะ


สัตว์ป่าหิมพานต์ แบ่งออกเป็น 15 ประเภท ( แบ่งตามลักษณะทางกายภาพ )

1. สัตว์ประเภทกิเลน

- กิเลนจีน

- กิเลนไทย

- กิเลนปีก


2. สัตว์ประเภทกวาง

- มารีศ

- พานรมฤค

- อัปสรสีหะ


3. สัตว์ประเภทสิงห์

- บัณฑุราชสีห์

- กาฬสีหะ

- ไกรสรราชสีห์

- ติณสีหะ

- เกสรสิงห์

- เหมราช

- คชสีห์

- ไกรสรจำแลง

- ไกรสรคาวี

- ไกรสรนาคา

- ไกรสรปักษา

- โลโต

- พยัคฆ์ไกรสร

- สางแปรง

- สกุณไกรสร

- สิงฆ์

- สิงหคาวี

- สิงหคักคา

- สิงหพานร

- สิงโตจีน

- สีหรามังกร

- เทพนรสีห์

- ฑิชากรจตุบท

- โต

- โตเทพสิงฆนัต

- ทักทอ


4. สัตว์ประเภทม้า

- ดุรงค์ไกรสร

- ดุรงค์ปักษิณ

- เหมราอัสดร

- ม้า

- ม้าปีก

- งายไส

- สินธพกุญชร

- สินธกนธี

- โตเทพอัสดร

- อัสดรเหรา

- อัสดรวิหค


5. สัตว์ประเภทแรด


6. สัตว์ประเภทช้าง

- เอราวัณ

- กรินทร์ปักษา

- วารีกุญชร

- ช้างเผือก


7. สัตว์ประเภทวัวควาย

- มังกรวิหค

- ทรพี / ทรพา


8. สัตว์ประเภทลิง

- กบิลปักษา

- มัจฉานุ


9. สัตว์ประเภทสุนัข


10. สัตว์ประเภทนก

- อสูรปักษา

- อสุรวายุพักตร์

- ไก่

- นกการเวก

- ครุฑ

- หงส์

- หงส์จีน

- คชปักษา

- มยุระคนธรรพ์

- มยุระเวนไตย

- มังกรสกุณี

- นาคปักษี

- นาคปักษิณ

- นกหัสดี

- นกอินทรี

- นกเทศ

- พยัคฆ์เวนไตย

- นกสดายุ

- เสือปีก

- สกุณเหรา

- สินธุปักษี

- สีหสุบรรณ

- สุบรรณเหรา

- นกสัมพาที

- เทพกินนร

- เทพกินรี

- เทพปักษี

- นกทัณฑิมา


11. สัตว์ประเภทปลา

- เหมวาริน

- กุญชรวารี

- มัจฉนาคา

- มัจฉวาฬ

- นางเงือก

- ปลาควาย

- ปลาเสือ

- ศฤงคมัสยา


12. สัตว์ประเภทจระเข้

- กุมภีร์นิมิต

- เหรา


13. สัตว์ประเภทปู


14. สัตว์ประเภทนาค


15. สัตว์ประเภทมนุษย์

- คนธรรพ์

- มักกะลีผล
ป่าหิมพานต์ที่ปรากฏในเวสสันดรชาดก ใน " กัณฑ์มหาพน "

พระอัจจุตฤาษี หลงกลลวงชูชกที่บอกว่ารู้จักกับพระเวสสันดร จึงได้บอกทางให้ชูชก ไปหาพระเวสสันดร

ความว่า...

ภูเขาที่เห็นนั้นเรียกว่า เขาคันมาทน์ ต่อไปจะถึงสระมุจลินท์..... ต่อนั้นไปก็ถึง
" ป่าหิมพานต์ " มีสัตว์ต่าง ๆ เหลือที่จะประมาณ สัตว์ที่สำคัญก็คือ ราชสีห์ 4 จำพวก ได้แก่ 1. ติณราชสีห์ กินเส้นหญ้าเป็นอาหาร 2. กาฬสิงห์ กินเนื้อสัตว์เป็นอาหาร 3. ปัณฑุสุรมฤคินทร์ กินเนื้อสัตว์เป็นอาหาร ทั้ง 3 ชนิดนี้รูปร่างคล้ายโค ขนต่าง ๆ มีสีหม่น มอ ดำ และเหลืองเลื่อม 4. ไกรสรสิงหราช ปลายหาง เท้าและปาก สีแดง ตามตัวสีขาว สร้อยคอแดง มีสีแดงผ่านกลางหลัง อยู่ในน้ำ นอกจากนี้ยังมีสัตว์อื่น ๆ อีกเป็นอันมาก สารพัดอย่าง ถ้าท่านไปตามคำแนะนำก็จะถึงพระอาศรมพระเวสันดร ชูชกทำประทักษิณพระอัจจุตฤาษี 3 รอบ แล้วอำลาเดินทางต่อไป...


ป่าหิมพานต์ ในมหานิบาตชาดก


สุคนธไม้หอม 10 ชนิด ในป่าหิมพานต์
1. มูลคันธะ
- รากหอม

2. สารคันธะ - แก่นหอม

3. เผคคุคันธะ - กระพี้หอม

4. ตจคันธะ - เปลือกหอม

5. ปัปปฏกคันธะ - สะเก็ดหอม หรือ กะเทาะหอม

6. รสคันธะ - ยางหอม

7. ปัตตคันธะ - ใบหอม

8. ปุปผคันธะ - ดอกหอม

9. ผลคันธะ - ลูกหอม

10. สัพพคันธะ - หอมทุกอย่าง


ช้าง 10 ตระกูล ในป่าหิมพานต์
1. กาฬวกหัตถี
- สีดำ

2. คังไคยหัตถี - สีน้ำ

3. ปัณฑรหัตถี - สีขาวดังเขาไกรลาส

4. ตัมพหัตถี - สีทองแดง

5. ปิงคลหัตถี - สีทองอ่อนดังสีตาแมว

6. คันธหัตถี - สีเหมือนไม้กฤษณา มีกลิ่นหอม

7. มังคลหัตถี - สีนิลอัญชัน กริยาท่าทางเดินงดงามมาก

8. เหมหัตถี - สีเหลืองดังทอง

9. อุโบสถหัตถี - สีทองคำ

10. ฉัททันตหัตถี - สีกายขาวบริสุทธิ์ดังเงิน ปากและเท้ามีแดง

***** ช้างแต่ละเชือกใน 10 ตระกูลนี้ มีกำลังยิ่งกว่ากันเป็น 10 ๆ เท่า โดยลำดับ


ลักษณะเสือและราชสีห์ในป่าหิมพานต์
1. ติณราชสีห์
- กินหญ้าเป็นอาหาร

2. กาฬสิงหะ - มีลายดำ

3. ปัณฑุสุระ - มีลายเหลืองกินเนื้อสัตว์เป็นอาหาร

4. ไกรสรสิงหราช - ปากหาง เท้า ปาก มีสีแดงเหมือนครั่ง มีลายผ่านกลางสีแดงเหมือนทาชาด ชอบอยู่มนถ้พ พอตะวันบ่าย ก็ออกเที่ยวหากิน ชอบแผดเสียงร้องกึกก้องระงมไพร เสือและราชสีห์ทั้ง 4 ชนิด นี้ รูปร่างโตดั่งโค มีลายต่าง ๆ กัน

วันอังคารที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

<<สัตว์หิมพานต์>>


เกสรสิงห์::. 

     หรือกาสรสิงห์เป็นสิงห์ืี่มีส่วนผสม ระหว่างราชสีห์ กับสัตว์ประเภทวัวควาย กาสรสิงห์มีผิวกายสีเทา ร่างเป็นแบบสิงห์ แต่มีเท้าเป็นกีบเหมือนเท้าควาย

เหมราช::. 


     ตามชื่อของสัตว์ชนิดนี้ เหมราชเป็นสัตว์ผสมที่มีร่างเป็นสิงห์ส่วนหัวเป็นเหม เหมเป็นสัตว์ในวรรณคดีไทยชนิดหนึ่ง บ้างก็ว่ามีลักษณะเหมือนหงส์ (ห่าน) แต่ในบางรูป ก็วาดเหมเหมือนสัตว์ตระกูลจระเข้

คชสีห์::. 


     เป็นสิงห์ผสมที่มีกายเป็นสิงห์ และมีช่วงหัวเป็นช้าง ตามตำรากล่าวว่าคชสีห์มีพลังเทียบเท่าช้างและสิงห์รวมกัน ซึ่งนับได้ว่าเป็นสัตว์ที่น่าเกรงขาม คชสีห์มีลักษณะคล้ายสัตว์หิมพานต์อีกชนิดหนึ่งชื่อทักทอ

ไกรสรจำแลง::.


     มีหัวแบบมังกร และมีร่างเป็นราชสีห์ (สิงโต) จิตรกรบางท่านเรียกไกรสรจำแลงว่า "ไกรสรมังกร" ซึ่งมีความหมาย ตรงตัวว่ามังกรสิงห์

ไกรสรคาวี::. 


     สัตว์ชนิดนี้มีลักษณะผสมระหว่างสิงโต และวัว. ในรูปจิตรกรรมไทย มักวาดไกรสรคาวีเป็นสัตว์ที่มีช่วงหัวเป็นวัว และมีร่างเป็น สิงโต. จิตรกรบางท่านวาดไกรสรคาวีเป็นสิงห์ที่มีหัวเป็นวัว แต่มีหางเหมือนม้า

ไกรสรนาคา::.


      ตามชื่อของสัตว์ชนิดนี้ ไกรสรนาคาเป็นสิงห์ผสมที่มีส่วนประกอบของนาคด้วย หางเหมือนสัตว์เลื้อยคลานประเภทงู ตัวมีลักษณะคล้ายสิงห์ แต่มีเกล็ดแข็งปกคลุมทั่วกาย

ไกรสรปักษา::.


      เป็นสัตว์ผสมระหว่างสิงห์กับนก. ตามรูปโบราณ ไกรสรปักษามีกายสีเขียวอ่อน หัวเป็นเหมือนพญาอินทรี ตัวเป็นดั่งราชสีห์แต่มีเกล็ดคลุม นอกจากนั้นยังมีปีกเหมือนนกอีกด้วย

โลโต::. 


     มีร่างกายเป็นสิงห์สีน้ำตาล ลักษณะเด่นคือมีเท้าแบบกรงเล็บ ชื่อโลโต เป็นชื่อที่ค่อนข้างแปลก ไม่ททราบว่าจริงๆแล้วแปลว่าอะไร แต่ในภาษาจีนคำว่า โลโต แปลว่าอูฐ

พยัคฆ์ไกรสร::.


     มีส่วนประสมระหว่างสิงห์กับเสือ ส่วนหัวมีลักษณะเหมือนเสือลายพาดกลอน หรือเสือเบงกอล ส่วนตัวเป็นแบบสิงโต ตามจริงแล้วในโลกมนุษย์ ก์็มีสัตว์ที่มี ลักษณะเช่นนี้เหมือนกัน นั่นก็คือ "Liger-ไลเกอร์" (สัตว์ลูกผสมที่มีพ่อเป็นสิงโต และมีแม่เป็นเสือ) หรือ "Tigon-ไทกอน" สัตว์ลูกผสมที่มีพ่อเป็นเสือ และมีแม่เป็นสิงโต)

สางแปรง::.


     มีกายเป็นสีเหลือง และมีเท้าเป็นแบบกรงเล็บ คำโบราณไทยให้ความหมายของคำว่า "สาง" ไว้หลายแบบ บ้างก็แปลว่าเสือ บ้างก็แปลว่าช้าง

สกุณไกรสร::.


     มีผิวกายเป็นสีน้ำตาล ส่วนหัวเป็นเหมือนนก ส่วนตัวเป็นสิงห์ยังมีสัตว์อีกชนิดในป่าหิมพานต์ที่คล้ายคลึงกับ สกุณไกรสร นั่นก็คือ ไกรสรปักษา ข้อแตกต่างระหว่างสัตว์ทั้ง ๒ ชนิดคือ สกุณไกรสรไม่มีปีกเหมือนไกรสรปักษา

สิงฆ์::. 


     นอกเหนือจากที่มีอธิบายไว้ว่ามีกายสีม่วงอ่อน สิงฆ์มีลักษณะเหมือนราชสีห์ทั่วไป

สิงหคาวี::.


     มีลักษณะคล้ายกับ ไกรสรคาวี ทั้งคู่เป็นสัตว์ผสมที่มีหัวเป็น วัว และมีตัวเป็น สิงห์

สิงหคักคา::. 


     หรือสีหะคักคามีกายเป็นเกล็ดสีม่วงเข้ม แม้จะมีส่วนหัวและตัวเป็นสิงห์ กลับมีเท้าเหมือนช้าง

สิงหพานร::.


     มีขนกายสีแดง ช่วงบนมีลักษณะเป็นวานรรหรือลิง ส่วนช่วงล่างและหางมีลักษณะของสิงห์ แต่ช่วงเท้ากลับมี ลักษณะเหมือนอุ้งเท้าลิง

สิงโตจีน::.


     เห็นสัตว์ที่ไทยเราได้มาจากประเทศจีน สิงโตจีนโดยปกติ จะมีขนปกคลุมยาวต่างจากสิงห์ชนิอื่น ในประเทศไทย ท่านสามารถพบสิงโตจีนได้ทั่วไปตามวัดวาอาราม หรือ แม้กระทั่งศาลเจ้่าจีนเกือบทุกแห่ง

สีหรามังกร::.


      สิงห์ชนิดนี้มีหัวเป็นมังกร มีร่างเป็นสิงห์สีน้ำตาล คนทั่วไปมักจำสีหรามังกรสับสนกับไกรสรจำแลง

เทพนรสีห์::.


     เป็นสัตว์ผสมที่มีกายท่อนบนเป็นมนุษย์ ส่วนท่อนล่างเป็นสิงห์ แต่ในบางตำราก็ว่ามีช่วงล่างเป็นกวาง ตัวเมียเรียกว่า "อัปสรสีห์"

ฑิชากรจตุบท::.


     เป็นสิงห์ที่มีลักษณะของนก คำว่า จตุบท มาจากคำว่าจตุ ซึ่งแปลว่า ๔ และ คำว่า บท มาจากคำว่า บาท ซึ่งหมายถึง เท้า

     ส่วนคำว่าฑิชากรแปลว่านก ในตำราบรรยายว่า สัตว์ชนิดนี้มีกายสีเขียวอ่อน ส่วนหางมีสีเหลือง

โต::.


     มีลักษณะคล้ายสิงห์แต่ส่วนหัวมีเขา ๒ เขา ว่ากันว่าชื่อ โตนี้ได้มาจากชื่อสัตว์ในตำนานของประเทศลาว

โตเทพสิงฆนัต::. (ไม่มีรูปอ่ะ T^T หาไม่ได้)
 
     เป็นสัตว์ตระกูลสิงห์ มี กายสีน้ำตาล ชื่อของสัตว์ชนิดนี้มาจากคำว่า โต และ สิงฆนัต ทั้งสองคำ มีความหมาย พ้องหันคือ แปลว่าสิงโต

ทักทอ::.

     เป็นสัตว์ประหลาดอีกชนิดแห่งโลกหิมพานต์ มีกายท่อนล่างเป็นสิงห์ ส่วนหัวเป็นช้าง ผู้อ่านมักสับสนกับคชสีห์ เพราะทั้งคู่มีลักษณะคล้ายคลึงกันมาก จุดต่างของสัตว์ทั้งสองคือ ทักทอมีเครา และผมตั้งไปข้างหน้า
ขอขอบคุณ: http://writer.dek-d.com/

วันอังคารที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ตำนานป่าหิมพานต์ (Legendary of Himmaphan)

ตำนานป่าหิมพานต์ (Legendary of Himmaphan)
ในสมัยก่อน เมื่อครั้งนั้นโลกยังมีลักษณะแบนคล้ายหลังเต่า มีเสาค้ำจุลโลกในยุคนั้นตั้งชี้สูงขึ้นไปยังดวงอาทิตย์ พื้นโลกเต็มไปด้วยสรรพสัตว์นานาชนิด มีการเข่นฆ่ากันอย่างปกติ ไร้เมตตา ผู้อ่อนแอย่อมเป็นเหยื่อของผู้ที่แข็งแกร่ง และพื้นที่ส่วนใหญ่ยังปกครองด้วยป่า ซึ่งเราเรียกโลกนั้นว่า โลกาหิมพานต์
ป่าหิมพานต์เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์น้อยใหญ่มากมาย โดยมีการจัดหมวดหมู่ประเภทออกเป็นกลุ่มๆ สัตว์ปีก สัตว์น้ำ และพวกที่อยู่บนบก ใจกลางของป่าหิมพานต์ซึ่งเข้าไปในป่าลึกนั้น มีเสาค้ำจุนโลกอยู่ พื้นของเสานั้นมีซากปลาขนาดใหญ่ล้อมพันไว้ มีชื่อว่าปลาอานนท์ซึ่งเป็นปลาขนาดใหญ่ในอดีตเคยรองรับโลกไว้ ห่างไกลออกไปไม่เท่าไหร่ มีระมาดตัวหนึ่งผู้มีพละกำลังมหาศาลที่สุดในโลกาหิมพานต์ ซึ่งไม่มีผู้ใดต่อกรเรื่องกำลังกับระมาดตัวนี้ได้ แม้แต่ พญานาคผู้ทรงอิทธิฤทธิ์ หรือพญาครุฑผู้มีอำนาจ ระมาดเหลียวมองไปพบกับเทพกินรีผู้เลอโฉม จึงนึกอยากจะเชยชม กินรีจึงรีบบินหนี ระมาดเกิดโทสะ ไล่จับ แต่กินรีมีความคล่องตัวสูงจึงหลบหลีกได้เรื่อยไป ระมาดหยิบก้อนหิน ต้นไม้ไล่ขว้าง ไล่ล่า จากแรงกำลังของระมาดทำให้สั่นสะเทือนไปทั่ว เดือดร้อน พญาครุฑทราบเรื่อง จึงเข้าขวาง ระมาด ยิ่งจับไม่ได้ก็รู้สึกหงุดหงิดยิ่งขึ้น ซ้ำยังมีคนมาขัดขวาง ระมาดจึงรวบรวมพละกำลังทั้งหมดพุ่งเข้าต่อกร การต่อสู้ทำให้พื้นน้ำสั่นสะเทือน ปลาน้อยใหญ่ล้วนเดือดร้อนพญานาคจึงขึ้นไปหมายหยุด  พญาครุฑเมื่อเห็นพญานาคศัตรู ก็ตกใจนึกว่าพญานาคหมายสู้รบกับตน จึงเสียท่า ถูกระมาดพุ่งชนประทะกับพญานาค จนสิ้นชีพ แรงประทะทั้ง 3 และแรงมหาศาลของระมาดชนกับเสาค้ำจุนโลก จนเสาค้ำจุนโลกเอียงและไปกระทบกับดวงอาทิตย์ ทำให้ดวงอาทิตย์แตกแยกเป็น 2 โลกเกิดการเปลี่ยนแปลง เกิดความร้อนขึ้นเนื่องจากพระอาทิตย์แยกเป็น 2 ไม่มีกลางคืน มีแต่ท้องฟ้าลำสีส้ม น้ำระเหยแทบเหือด เหล่าสัตว์หิมพานต์จึงได้พยายามหาทางขจัดเภทภัยครั้งนี้ กบิลปักษา ผู้มีลักษณะเซ่อซ่า จัดเป็นชนชั้นต่ำ ได้แต่เหลียวมองการประชุม เนื่องจากแอบหลงชอบกินรี นั่งแกะสลักหินรูปนางกินรีทุกเพลา พร่ำเพ้อถึงนางให้ วเนกำพู เพื่อนพี่รู้จักกันมานานและสัตว์เนรมิตที่กบิลปักษาเลี้ยง นาม มนุษาสิงห์ การประชุมไม่มีทีท่าในทางที่ดี ทุกเผ่าพันธุ์ ต่างอยากจะแสดงความสามารถ ทั้งลนลาน ทั้งตื่นตระหนก พญานาคผู้ปราดเปรื่องคิดได้ว่า ต้องทำลายเสาเพื่อที่เสา จะได้ชนพระอาทิตย์อีกดวงดีดไปไกล จึงถอดดวงอิทธิฤทธิ์แล้วซัดเข้าไปที่เสา เพื่อที่จะพังเสา แต่กลับไม่เป็นผลสำเร็จ นางกินรีพยายามที่จะให้ทุกคนผ่อนคลาย จึงเล่นดนตรีและร่ายรำ เป็นที่งดงามและสะกดทุกสายตา รวมทั้งกบิลปักษาผู้ต้อยต่ำ ยิ่งทำให้กบิลปักษาหลงใหล เหล่าคชสีห์ แลสิงห์ ต่างใช้พละกำลังหมายทำลายเสา แต่ก็ไม่มีใครทำสำเร็จ สิ่งมีชีวิตเริ่มสิ้นใจจากความร้อนไปเรื่อยๆ แม้แต่  มนุษาสิงห์ สัตว์เลียงของกบิลปักษาก็ใกล้จะสิ้นใจ  พญานาคจึงนึกถึงคำกล่าว ว่าสิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงทุกสรรพสิ่งได้นั่นย่อมเกิดจากหัวใจ แต่ไม่มีผู้ใดกล้า พิสูจน์ กล้าที่จะลอง แม้แต่พญานาคผู้ทรงเดช กินรีจึงเสนอตัวเข้าแลก หากมีใครผู้ใดสามารถแก้ไขวิกฤตการณ์นี้ได้จากความงดงามของนาง ซึ่งเป็นที่หมายปองของทุกผู้ในป่าหิมพานต์ กลับทำให้เรื่องเลวร้ายขึ้น เมื่อบรรดาสัตว์ต่างเริ่มสู้รบ กับเพื่อแย่งชิงนาง กลายเป็นสงคราม กบิลปักษา ก้มหน้า มือกุมหัวใจ และมองที่มือ พร้อมกับกล่าวว่า ข้ามีเพียงแค่มือเปล่า แต่จะยอมเข้าไปเผชิญความยิ่งใหญ่ เพื่อจะคอยประคองตัวนางนั้นไว้ ข้ายอมไม่ได้ให้ผู้ใดแย่งชิง ไม่ว่าจะเป็นสรรพชีวิต แม้นแสงอาทิตย์แผดเผา แม้นต้องสู้กับเหล่าพญาผู้สูงศักดิ์” กบิลปักษากล่าวพร้อมบินขึ้นไปบนนภา เค้าใช้มือควักหัวใจที่อกออกมาพร้อมกับตะโกนว่าแม้นข้าจะมีเพียงมือเปล่า แต่สิ่งที่คืออาวุธของข้า ก็คือ หัวใจ ขอทำเพื่อทุกสิ่งบนโลกา ข้าขอเรียกมันว่า ความเสียสละ”  เมื่อกล่าวจบหัวใจในมือกบิลปักษากลายสภาพเป็นดาบและพุ่งเข้าไปหาเสาค้ำจุนโลก พร้อมๆกับที่ร่างของกบิลปักษาร่วงหล่นสู่พสุธา ดาบแห่งความเสียสละพุ่งเข้าเสียบที่ร่างของปลาอานนท์ เกิดแสงเปล่งประกาย สั่นสะเทือนทั่วโลกาหิมพานต์ เสาค้ำจุนล้มลงและกระแทกกับพระอาทิตย์จนถูกดีดลอยไกลออกไป ส่วนดวงอาทิตย์อีกดวงที่แยกออกมากลับเริ่มดึงดูดผืนพสุธาเข้าหา แปรเปลี่ยนโลกาจากหลังเต่า กลับกลายเป็นรูปลักษณ์ที่เป็นวงกลมรี ทุกสิ่งทุกอย่างเริ่มกลับมาปกติอีกครั้ง ร่างของกบิลปักษาที่ไร้หัวใจและวิญญาณแล้วในเพลานั้น ถูกโอบอุ้มด้วยนางเทพกินรี ตั้งแต่วินาทีนั้น กบิลปักษาทำให้โลกได้รู้จักคำว่า ความเสียสละ ซึ่งเปลี่ยนแปลงโลกให้เป็นโลกใบใหม่ และกลับกลายเป็นปกติสุข  และส่วนระมาดเกิดความสำนึกผิดในการกระทำของตัวเอง จึงกลับใจผันตัวเองจากกินเนื้อเป็นกินพืชแทน และบำเพ็ญจิต และรักสงบนับแต่นั้นมา แลเปลี่ยนชื่อเป็นแรด ในปัจจุบัน
                       ตำนานป่าหิมพานต์ ตามตำนานกล่าวไว้ว่าป่าหิมพานต์ตั้งอยู่บนเขา หิมพานต์ หรือหิมาลายา (หิมาลัย) คำว่า หิมาลายานั้นเป็นคำที่ มีรากศัพท์มาจากภาษาสันสกฤตซึ่งแปลว่าสถานที่ๆ ถูกปกคลุมด้วยหิมะ ภูเขาหิมพานต์ประดิษฐานอยู่ในชมพูทวีปมีเนื้อที่ ประมาณ ๓,๐๐๐ โยชน์ (๑ โยชน์ เท่ากับ ๑๐ ไมล์ หรือ ๑๖ กิโลเมตร) วัดโดยรอบได้ ๙,๐๐๐ โยชน์ ประดับด้วยยอด ๘๔,๐๐๐ ยอด มีสระใหญ่ ๗ สระคือ ๑ สระอโนดาต ๒ สระกัณณมุณฑะ ๓ สระรถการะ ๔ สระฉัททันตะ ๕ สระกุณาละ ๖ สระมัณฑากิณี ๗ สระสีหัปปาตะ บรรดาสระใหญ่ทั้ง ๗ นั้น สระอโนดาตแวดล้อมไปด้วยภูเขาทั้ง ๕ ที่จัดเป็นยอดเขาหิมพานต์ ยอดเขาทุกยอด มีส่วนสูงและสัณฐาน ๒๐๐ โยชน์ กว้างและยาวได้ ๕๐ โยชน์
กบิลปักษา
                  กบิลปักษาเป็นสัตว์ประหลาดกึ่งนกกึ่งลิง โดยมีปีกนกติดอยู่ที่หัวไหล่ และ มีหางเหมือนนก โดยปกติระบายสีกายเป็นสีดำ ลักษณะครึ่งลิงครึ่งนกศีรษะถึงเอวเป็นลิงจากเอวลงไปเป็นนกมีปีก เป็นลิงประหลาดในเรื่องรามเกียรติ์ไม่มี เป็นสัตว์ผสมใหม่

กินนร-กินรี
                        กินรี และ กินร เป็นสัตว์ในป่าหิมพานต์ ร่างกายท่อนบนเป็นมนุษย์ ท่อนล่างเป็นนก มีปีกบินได้ ตามตำนานเล่าว่าอาศัยอยู่ในป่าหิมพานต์ เชิงเขาไกรลาศ นับเป็นสัตว์ที่มีปรากฏในงานศิลปะของไทยมาก ส่วนในวรรณคดีไทยก็มีการอ้างถึงกินรีด้วยเช่นกเป็นสิ่งมีชีวิตในเทพนิยายของทางชมพูทวีปครับ พวกสิ่งมีชีวิตแปลก มักถูกกำหนดให้อาศัยอยู่ในป่าหิมพานต์ ซึ่งตำแหน่งปัจจุบันตรงกับ ป่าบริเวณเชิงเทือกเขาหิมาลัย
พญานาค
                   พญานาค เป็นสัตว์มหัศจรรย์ ที่มีคุณสมบัติพิเศษ คือ สามารถแปลงกายได้ พญานาค มีอิทธิฤทธิ์ และมีชีวิตใกล้กับคน พญานาค สามารถแปลงเป็นคนได้ เช่นคราวที่แปลงเป็นคนมาขอบวชกับพระพุทธเจ้า ในหนังสือไตรภูมิพระร่วง กล่าวถึงนาคที่ชื่อ ถลชะ ที่แปลว่า เกิดบนบก จะเนรมิตกายได้เฉพาะบนบก และนาคชื่อ ชลซะ แปลว่า เกิดจากน้ำ จะเนรมิตกายได้เฉพาะในน้ำเท่านั้น

ครุฑ
                   ครุฑเป็นพญาแห่งนกที่เป็นพาหนะของพระนารายณ์เชื่อว่าปกติอยู่ที่วิมานฉิมพลี มีรูปเป็นครึ่งนกอินทรี ที่ได้รับพรให้เป็นอมตะ ไม่มีอาวุธใดทำลายลงได้ แม้กระทั่งสายฟ้าของพระอินทร์ ก็ได้แต่เพียงทำให้ขนของครุฑหลุดร่วงลงมาเพียงเส้นหนึ่งเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ครุฑจึงมีชื่ออีกอย่างหนึ่งว่า “สุบรรณ” ซึ่งหมายถึง “ขนวิเศษ” ครุฑเป็นสัตว์ที่มีขนาดใหญ่ มีอานุภาพและพละกำลังมหาศาล แข็งแรง สามารถบินได้รวดเร็ว ทั้งยังมีสติปัญญาเฉียบแหลม เฉลียวฉลาด อ่อนน้อม ถ่อมตน และมีสัมมาคารวะ น่าสรรเสริญ

ระมาด
                          คำว่า ระมาด” ในภาษาเขมรแปลว่าแรด ระมาดเป็นสัตว์หิมพานต์ที่ มาจากสัตว์ที่มีตัวตนอยู่จริง แต่อาจจะเพี้ยนไปบ้าง เพราะระมาด หรือแรดเป็นสัตว์ ป่าหายาก ศิลปินไทยในสมัยโบราณไม่รู้ว่าจริงๆแล้ว ระมาดหน้าตาเป็นอย่างไร จึงได้แต่วาดตามคำอธิบาย ระมาดที่ปรากฎในศิลปะไทยจึงดูคล้ายกับตัวสมเสร็จ ซึ่งมีจมูกเป็นงวงสั้นๆ ดูน่าจะเป็นพันธุ์ Malayan Tapir ที่มีอยู่ในเขตตะวันตกของประเทศไทย

วเนกำพู
                   เป็นสัตว์ผสมระหว่างลิงกับหอยครึ่งบนเป็นลิง ครึ่งล่างเป็นหอย อาศัยอยู่ในน้ำ กินผลไม้เป็นอาหาร
สิงฆ์
                                   นับได้ว่าสัตว์ในป่าหิมพานต์ส่วนใหญ่จัดอยู่ในหมวดสิงห์ คงเป็นเพราะสิงห์เป็นสัตว์ที่ดูสง่า และน่าเกรงขาม สิงห์ในตำนานหิมพานต์สามารถจำแนกออกได้เป็น ๒ ชนิดหลักๆ คือ ราชสีห์ และ สิงห์ผสม ราชสีห์เป็นสัตว์ที่มีพละกำลังสูง ราชสีห์มีอยู่ด้วยกัน ๔ ชนิดคือ บัณฑุราชสีห์ กาฬสีหะ ไกรสรราชสีห์ และ ติณสีหะ ส่วนสิงห์ผสมนั้นมีอยู่มากมาย โดยปกติสิงห์ผสมคือสัตว์ประสมที่มีลักษณะของ ราชสีห์กับสัตว์ประเภทอื่นนอกเหนือจากที่มีอธิบายไว้ว่ามีกายสีม่วงอ่อน สิงฆ์มีลักษณะเหมือนราชสีห์ทั่วไป

คชสีห์
                                   คชสีห์ เป็นสิงห์ผสมที่มีกายเป็นสิงห์ และมีช่วงหัวเป็นช้าง ตามตำรากล่าวว่าคชสีห์มีพลังเทียบเท่าช้างและสิงห์รวมกัน ซึ่งนับได้ว่าเป็นสัตว์ที่น่าเกรงขาม คชสีห์มีลักษณะคล้ายสัตว์หิมพานต ์อีกชนิดหนึ่งชื่อทักทอ
สุกรนที
                           สัตว์ผสมระหว่าง หมูกับปลา ท่อนบนจนถึงเอวเป็นหมูจาเอวลงมาเป็นปลา อาศัยอยู่ในน้ำ
  หงส์
                           เป็นนกในวรรณคดีไทย มีขนสีเหลืองอร่าม เป็นนกที่สง่างามและมีความสวยงาม มีการนำความงามของหงสฺไปเปรียบกับผู้หญิง

 มัจฉามังกร
                        เป็นสัตว์ผสมระหว่างมังกรกับปลา ครึ่งบนจาถึงเอวเป็นมังกรจากเอวลงมามีร่างเป็นปลา จะอาศัยอยู่ในน้ำ

ปลาอานนท์
               ในสมัยก่อน คนมีความเชื่อกันว่า ใต้พื้นโลกลงไป มีปลาตัวขนาดใหญ่มหึมาหนุนรองรับโลกไว้ เรียกชื่อปลานั้นว่า ปลาอานนท์ เวลาที่ปลาอานนท์พลิกตัวแต่ละครั้งก็จะเกิดแผ่นดินไหวขึ้น ปัจจุบันเราทราบแล้วว่าแผ่นดินไหวเกิดขึ้นมิใช่เพราะปลาอานนท์ แต่เป็นเพราะเปลือกโลกมีการเคลื่อนที่ จึงเกิดการสั่นสะเทือน
บทสนทนา

หลังจากเหล่าสรรพสัตว์ต่างรู้ว่าจะเกิดหายนะแก่โลกที่ตนอาศัยอยู่ จึงเกิดการประชุมโดยไม่แยกแยะมิตรศัตรูขึ้น การประชุมเพื่อแก้ปัญหาในครั้งนี้ ไม่มีทีท่าในทางที่ดี ทุกเผ่าต่างต้องการที่จะแสดงความสามารถของตนให้ประจักษ์แก่สายตาของทุกตน พญานาคผู้ปราดเปรื่องจิงออกตัวหมายจะทำลายเสาค้ำจุนโลกานั้น
พญานาค :      “ข้าขอใช้ อิทธิฤทธิ์ของข้า ดวงจิตพญาสมุทร!!!”

พลังจากดวงอิทธิฤทธิ์ของพญานาคพุ่งไปยังเสาค้ำจุนโลกาที่เอนเอียง แต่ไม่เกิดผลใดๆ  เหล่าคชสีห์ แลสิงห์ ต่างใช้พละกำลังหมายจะทำลายเสาแต่ไม่เกิดผลสำเร็จแต่อย่างใดเช่นกัน   ทำให้เหล่าสรรพสัตว์ต่างรู้สึกผิดหวังเป็นอย่างยิ่ง   นางกินรีซึ่งไม่มีอิทธิฤทธิ์ใดๆจึงพยายามที่จะให้ทุกคนผ่อนคลาย จึงเล่นดนตรีและร่ายรำ เป็นที่งดงามและสะกดทุกสายตา รวมทั้งกบิลปักษาผู้ต้อยต่ำ ยิ่งทำให้กบิลปักษาหลงใหล
กินรี : “พวกท่านจงไตร่ตรองให้ดี อย่าได้ผลีผลาม ข้าจะเล่นดนตรีให้พวกท่านผ่อนคลายเอง นี่เป็นเพียงสิ่งเดียวที่ข้าพอจะทำได้”
กบิลปักษา :           “…”

พญานาคผู้ปราดเปรื่องจึงนึกถึงคำกล่าวว่า
พญานาค : “สิ่งที่จะแปรเปลี่ยนทุกสรรพสิ่งได้นั้น ย่อมเกิดจากหัวใจ หากแม้นผู้ใดยอมสละได้ หายนะในคราวนี้ก็คงแคล้วคลาดในที่สุด หาเช่นนั้นไม่ตัวพวกเจ้าเหล่าสรรพสัตว์คงต้องถึงกาลอวสานเป็นแน่แท้”
คชสีห์ :                   “หากต้องเสียหัวใจ ก็เท่ากับต้องสิ้นชีพไม่ใช่รึท่านพญานาค หากเป็นเช่นนั้น ข้าขอเป็นเป็นตนที่ไม่ใช่ก็เพียงพอแล้ว เพราะข้ายังไม่อยากวายชีวา”
พญานาค :              “ข้าคิดว่าคงต้องมีใครซักตน ยอมสละจึงจะสามารถแก้ไขวิกฤตครั้งนี้ได้”
กบิลปักษา :           “…”
สิงห์ :                      “หากเช่นนั้นแล้ว ทำไมท่านไม่สละชีพของท่านเองล่ะ ท่านพญานาค ?”
พญานาค :              “…”
หงส์ :                      “สามหาวไปแล้วนะเจ้าสิงห์! พูดอย่างนี้เท่ากับดูหมิ่นท่านพญานาคมิใช่รึ!”
คชสีห์ :                   “นางหงส์ เจ้าพูดเช่นนี้แสดงว่าเจ้า จะเป็นผู้ยอมสละชีพของเจ้าหรือไร”
หงส์ :                      “ข้ามิได้แปลความเยี่ยงนั้น เพียงแต่…”
สิงห์ :                      “ถ้าเช่นนั้นในขณะนี้ผู้ที่ควรแก่การเสียสละ คงต้องเป็นผู้นำของเหล่าสรรพสัตว์สัตว์ในตอนนี้มิใช่รึ”
พญานาค :              “หากชีวิตของข้า ต้องหาไม่เหล่าสรรพสัตว์ในท้องน้ำท้องมหาสมุทรคงอยู่กันไม่ได้เป็นแน่แท้ เพราะฉะนั้นข้าคงไม่อาจสละได้…”
กบิลปักษา :           “…”
กินรี :                      “ข้านั่งฟังพวกท่านอยู่นาน พวกท่านทั้งหลายไม่ต้องมีผู้ใดยอมสละหรอก หากต้องมีผู้ใดยอมสละ ข้าขอยอมสละเอง ตัวข้าเป็นกินรีผู้อ่อนแอ หากหัวใจของผู้อ่อนเเออย่างข้าสามารถช่วยโลกานี้ไว้ได้ข้ายินดียอมสละให้”

ด้วยความงามของเทพกินรี ที่อยากจะหยุดหายนะในครั้งนี้ ทำให้สถานการณ์แย่ลง

กบิลปักษา :           “!!!”
คชสีห์ :                   “อะไรกัน! เทพกินรี เจ้างดงามเช่นนี้ข้าคงยอมไม่ได้หรอกให้เจ้าต้องพลีชีพด้วยกาลนี้”
พญานาค :              “ข้าเสียดายความงามของเจ้านะ เทพกินรี เจ้ามาเป็นของข้าดีกว่า ก่อนที่โลกานี้จะสูญสิ้น ข้าขอครอบครองตัวเจ้าแต่เพียงผู้เดียว”
สิงห์ :                      “ท่านพญานาคทำเช่นนี้ หมายจะไม่รับผิดชอบเหตุการณ์ทีเกิดขึ้นสินะ หากใครที่จะได้เป็นผู้ครอบครอง เทพกินรี ก็ต้องเป็นข้าสิ”
พญานาค :              “เจ้าคิดจะขวางข้ารึเจ้าสิงห์”
สิงห์ :                      “ใช่แล้ว ไหนๆโลกาแห่งนี้ก้อจะสูญสิ้นอยู่แล้วข้าขอครองครองตัวนางก่อนที่จะหาไม่ก็เพียงพอแล้ว”
คชสีห์ :                   “ท่านพญานาค หากทำเช่นนี้ก้อเท่ากับเปิดศึกกับข้าแล้ว ข้าคงยอมท่านมิได้อีกแล้ว”
พญานาค :              “ถ้าเช่นนั้นจะรออะไรอยู่ล่ะ ท่าน!!!”
กินรี :                      “ท่านทั้งหลาย อย่าทำเช่นนี้เลย ข้ายินดีพลีชีพในครั้งนี้เอง ทำไมพวกท่านถึงเป็นอย่างนี้ ข้ายอมสละด้วยตัวข้าเองนะ ไม่ได้ต้องการให้พวกท่านมาแย่งชิงตัวข้า…”
กบิลปักษา :           “…!!!”

นางเทพกินรีได้แต่นั่งโศกเศร้าเสียใจ เหล่าสรรพสัตว์ทั้งหลายเกิดสู้รบกันเพื่อแย่งชิงตัวนาง กลายเป็นสงครามที่ไม่อาจแก้ไขได้   ทันใดนั้นเอง กบิลปักษา ที่ไม่มีปากเสียงใดๆในการประชุมได้กล่าววาจา พร้อมกำมือกุมหัวใจไว้
กบิลปักษา : “ข้ามีเพียงแค่มือเปล่า แต่จะยอมเข้าไปเผชิญความยิ่งใหญ่ เพื่อจะคอยประคองตัวนางนั้นไว้ ข้ายอมไม่ได้ให้ผู้ใดแย่งชิง ไม่ว่าจะเป็นสรรพชีวิต แม้นแสงอาทิตย์แผดเผา แม้นต้องสู้กับเหล่าพญาผู้สูงศักดิ์”
กินรี:                       “เจ้ากบิลปักษา…”

กบิลปักษาโผบินขึ้นไปในนภา ใช้มือควักหัวใจที่อกออกมาพร้อมกับตะโกนว่า
กบิลปักษา :           “แม้นข้าจะมีเพียงมือเปล่า แต่สิ่งที่คืออาวุธของข้า ก็คือ หัวใจ ขอทำเพื่อทุกสิ่งบนโลกา ข้าขอเรียกมันว่า ความเสียสละ”
พญานาค:               “!!!”

เมื่อกล่าวจบหัวใจในมือกบิลปักษากลายสภาพเป็นดาบและพุ่งเข้าไปหาเสาค้ำจุนโลก พร้อมๆกับที่ร่างของกบิลปักษาร่วงหล่นสู่พสุธา ดาบแห่งความเสียสละพุ่งเข้าเสียบที่ร่างของปลาอานนท์ เกิดแสงเปล่งประกาย สั่นสะเทือนทั่วโลกาหิมพานต์ เสาค้ำจุนล้มลงและกระแทกกับพระอาทิตย์จนถูกดีดลอยไกลออกไป ส่วนดวงอาทิตย์อีกดวงที่แยกออกมากลับเริ่มดึงดูดผืนพสุธาเข้าหา แปรเปลี่ยนโลกาจากหลังเต่า กลับกลายเป็นรูปลักษณ์ที่เป็นวงกลมรี ทุกสิ่งทุกอย่างเริ่มกลับมาปกติอีกครั้ง ร่างของกบิลปักษาที่ไร้หัวใจและวิญญาณแล้วในเพลานั้น ถูกโอบอุ้มด้วยนางเทพกินรี
กบิลปักษา :           “…”
กินรี :                      “เจ้าช่างเป็นผู้กล้าหาญ ข้าขอขอบคุณเจ้านะ ความรักที่เจ้ามีให้กับข้ามันช่างดูใหญ่ยิ่งนัก”

ส่วนระมาดเกิดความสำนึกผิดในการกระทำของตัวเอง จึงกลับใจผันตัวเองจากกินเนื้อเป็นกินพืชแทน และบำเพ็ญจิต และรักสงบนับแต่นั้นมา แลเปลี่ยนชื่อเป็นแรด ในปัจจุบัน
ขอขอบคุณ: http://asakuramikki.wordpress.com/